แบบประเมินสถานศึกษา
ลงทะเบียน
เข้าสู่ระบบ
สถิติประเมินสถานศึกษา
- จำนวนสถานศึกษา
ที่ประเมินตนเอง : 27,524 แห่ง - จำนวนสถานศึกษา
ที่ผ่านเกณฑ์ : 10,279 แห่ง
ข้อมูลเกี่ยวกับเด็กปฐมวัย
ข้อมูลสถิติ E-Learning
- จำนวนผู้ทำแบบทดสอบ : 5,549 คน
- จำนวนผู้ผ่านแบบทดสอบ : 4,591 คน
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
สถิติผู้เยี่ยมชม
บทความน่าสนใจ

กรมควบคุมโรค ขอเผยแพร่ “พยากรณ์โรคและภัยสุขภาพรายสัปดาห์” ฉบับที่ ฉบับที่ 10/2566 ประจำสัปดาห์ที่ 11 (วันที่ 19 – 25 มีนาคม 2566) “จากข้อมูลกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปี 2555-2564 พบคนไทยจมน้ำเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ จำนวน 35,915 คน หรือ เฉลี่ยวันละ 10 คน โดยระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 31 สิงหาคม 2565 พบว่า ประชากรทุกกลุ่มอายุเสียชีวิตจากจมน้ำ รวม 2,883 คน และพบว่าระหว่างปี 2555–2564 มีเด็กจมน้ำเสียชีวิต รวม 7,374 คน หรือ เฉลี่ยวันละ 2 คน คิดเป็นอัตราอัตราเสียชีวิต 5.0–8.6 ต่อประชากรแสนคน จากข้อมูลข้างต้นพบว่า แม้แนวโน้มการจมน้ำของเด็กลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่กลับมาพบมากขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดโควิด 19 (ปี 2564 และ 2565) ขณะที่กลุ่มอายุอื่นมีแนวโน้มคงที่มาตลอด แต่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด 19 เช่นเดียวกัน ซึ่งจากผลการวิเคราะห์อัตราการเสียชีวิตในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี พบว่า เด็กอายุแรกเกิด - 4 ปี และอายุ 5-9 ปี มีอัตราการเสียชีวิตสูงสุด คิดเป็น 7.3 ต่อประชากรแสนคน รองลงมาได้แก่ กลุ่มอายุ 10–14 ปี มีอัตราการเสียชีวิต 4.7 ต่อประชากรแสนคน และในปี 2566 ข้อมูลจากโปรแกรมตรวจสอบข่าวการระบาด ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 16 มีนาคม 2566 พบการรายงานเหตุการณ์จมน้ำเสียชีวิต จำนวน 4 เหตุการณ์ ในเดือนมกราคม ถึงมีนาคม ตามลำดับ เดือนมกราคม มี 3 เหตุการณ์ ที่ สงขลา นราธิวาส และกระบี พบผู้จมน้ำเสียชีวิต 2, 1, 2 ราย ล่าสุดเหตุการณ์ที่ 4 จ.อุบลราชธานี พบจมน้ำเสียชีวิตจำนวน 5 คน เกิดเหตุแพข้ามฟากแม่น้ำมูลล่ม เนื่องจากมีผู้โดยสารจำนวนมากทำให้แพรับน้ำหนักไม่ไหว ” “การพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพประจำสัปดาห์ คาดว่าในช่วงนี้มีโอกาสพบการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุการตกน้ำ จมน้ำ ในกลุ่มเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปีมากขึ้น ประกอบกับระยะนี้เป็นช่วงที่เด็กปิดเทอมและอากาศร้อน เด็กอาจลงเล่นน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติหรือแหล่งน้ำที่ใช้ในเกษตรกรรมบริเวณใกล้เคียง รวมถึงแหล่งน้ำที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เช่น ทะเล น้ำตก สวนน้ำ ก็เป็นที่นิยมในช่วงฤดูร้อน จึงอาจมีความเสี่ยงเหตุการณ์เด็กตกน้ำหรือจมน้ำเพิ่มขึ้นได้ การป้องกันการเสียชีวิตจากการจมน้ำอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เช่น ผู้ปกครองควรดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด เน้นย้ำไม่ให้ไปเล่นน้ำกันตามลำพัง ไม่ให้เล่นในบริเวณห้ามเล่นน้ำ/แหล่งน้ำลึก/คลื่นลมแรง ควรสอนวิธีการว่ายน้ำเอาชีวิตรอดและการขอความช่วยเหลือ และให้ลงเล่นน้ำโดยสวมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น เสื้อชูชีพ หรือห่วงยาง บุคลากรสาธารณสุขในพื้นที่ ควรร่วมดำเนินการร่วมกับชุมชนในการสำรวจแหล่งน้ำเสี่ยง จัดการแหล่งน้ำให้ปลอดภัย เช่น การสร้างรั้วกั้น ป้ายเตือน เตรียมอุปกรณ์ช่วยคนตกน้ำไว้บริเวณแหล่งน้ำเสี่ยง และให้ความรู้เรื่องแหล่งน้ำเสี่ยง การป้องกัน และการปฏิบัติตัวเมื่อพบคนตกน้ำ/จมน้ำกับประชาชนทั่วไป รวมถึงเน้นย้ำโรงเรียนให้ความรู้เรื่องดังกล่าวกับนักเรียนอย่างต่อเนื่องตามบริบทพื้นที่ด้วยเช่นกัน กรมควบคุมโรค ขอแนะนำประชาชนทั่วไปในกรณีพบเห็นคนตกน้ำ ไม่ควรกระโดดลงไปช่วยเพราะอาจจมน้ำพร้อมกันได้ ควรใช้มาตรการ “ตะโกน โยน ยื่น” คือ 1. “ตะโกน” เรียกขอความช่วยเหลือ และโทรแจ้งทีมแพทย์กู้ชีพ เบอร์ 1669 2. “โยน” อุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัวช่วยคนตกน้ำเกาะจับพยุงตัว เช่น ถังแกลลอนพลาสติกเปล่า หรือวัสดุที่ลอยน้ำ และ 3. “ยื่น” อุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัวให้คนตกน้ำจับ เช่น ไม้ เสื้อ ผ้าขาวม้า ให้คนตกน้ำจับและดึงขึ้นมาจากน้ำ สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422” ข้อมูลจาก : ทีม SAT / สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค วันที่ 20 มีนาคม 2566ที่มา : https://ddc.moph.go.th/brc/news.php?news=32814&deptcode=brc

6 วิธีป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ที่มากับหน้าฝน สำหรับผู้ปกครองมาฝากกันค่ะ...อ่านข้อมูลเพิ่มเติม

ป้องกันได้...ด้วยการล้างมือ ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดบ่อยๆ หรือก่อนหยิบจับอาหารให้เด็กรับประทาน... อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี้

“โรคตาแดง” หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า “โรคเยื่อตาขาวอักเสบ” (Conjunctivitis, pink eye) นั้น เป็นการอักเสบของชั้นเนื้อเยื่อใสที่คลุมอยู่บนตาขาว ซึ่งจะมีการเปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อนหรือแดงจัด จากการอักเสบและเส้นเลือดฝอยขยายตัว...อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี้

โรคไข้อีดำอีแดง เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สเตรปโตคอคคัสชนิดเอ แต่โรคที่เกิดจากเชื้อชนิดนี้จะมีอาการไม่รุนแรง...อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี้...

โรคอีสุกอีใสเมื่อเป็นแล้วมีโอกาสเป็นโรคงูสวัด ในภายหลังได้...อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี้

กรมควบคุมโรค สำนักโรคติดต่อทั่วไป กระทรวงสาธารณสุข เผยปี 2559 พบผู้ป่วยโรคมือเท้าปาก 2,422 คน จาก 77 จังหวัด อัตราป่วย 26.84 ต่อแสนประชากร สัดส่วนเพศชายต่อเพศหญิง 1:0.73 ภาคเหนือมีอัตราป่วยสูงสุด 43.76 ต่อแสนประชากร รองลงมาภาคกลาง 32.09 ต่อแสนประชากร การระบาดของโรคมือเท้าปาก ปีระบาด 2 ช่วงคือฤดูหนาว และฤดูฝน กำชับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาล ป้องกันควบคุมโรคตามมาตรการของกรมควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิต ข้อมูลการเฝ้าระวังโรคของสำนักระบาดวิทยา ทั้งนี้ สำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค ได้วิเคราะห์ข้อมูลการระบาดของปี 2558 ทั่วประเทศพบผู้ป่วยโรคมือเท้าปาก 40,517 คน เสียชีวิต 3 ราย ได้มีการเร่งรัดควบคุมป้องกันโรคอย่างเข้มข้นตลอดปี ทำให้ลดจำนวนผู้ป่วยในช่วงฤดูฝนเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ลงได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังพบการระบาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ตุลาคมจนถึงสิ้นปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาในช่วงต้นปี 2559 ระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือและภาคใต้ตอนบน ซึ่งมีการระบาดต่อเนื่องมาจากปลายปี 2558 โดยปัจจัยที่ส่งเสริมการระบาดของโรคมือเท้าปากนั้น ส่วนหนึ่งมาจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น ทำให้ประชาชนละเลยการล้างมือ รวมทั้งการมีฝนตกชุกในพื้นที่ภาคใต้ เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เร่งรัดรณรงค์ขอความร่วมมือศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาลในพื้นที่ ดำเนินการป้องกันควบคุมโรค ตามมาตรการของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้มีเด็กป่วยและเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นในปี 2559 ขอความร่วมมือศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาลดำเนินการดังนี้ 1. ตรวจคัดกรองเด็กเป็นประจําทุกวันในตอนเช้า 2. แยกเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ โดยให้ผู้ปกครองรับกลับบ้าน 3. หลีกเลียงไม่ให้เด็กป่วยเล่นคลุกคลีกับเด็กปกติ และเมื่อป่วยควรพักรักษาอยู่ที่บ้าน 4. ให้เด็กล้างมือบ่อยๆ หรือทุกครั้งที่สัมผัสสิ่งสกปรก ปนเปื้อนเชื้อโรค ได้แก่ ก่อนรับประทานอาหารหลังเข้าห้องส้วม ก่อนและหลังทํากิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ทําความสะอาดอุปกรณ์ เครื่องมือ ของใช้ ของเล่น เป็นประจําทุกสัปดาห์ และทุกครั้งที่พบมีเด็กป่วย 5. หากพบเด็กป่วยเป็นโรคมือเท้าปาก ให้แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้านทันที โรคมือ เท้า และปาก เกิดจากเชื้อเอนเทอโรไวรัส ผู้ป่วยจะมีไข้ มีจุดหรือผื่นแดงอักเสบในปาก ที่ลิ้น เหงือก กระพุ้งแก้ม และเกิดผื่นแดง ตุ่มพองใสรอบๆ แดงที่บริเวณฝ่ามือ นิ้วมือ และฝ่าเท้า โรคนี้รักษาตามอาการ ได้แก่ การให้ยาลดไข้ กระตุ้นให้รับประทานอาหาร ให้อาหารเหลวหรืออาหารที่มีอุณหภูมิต่ำ เช่น ไอศกรีม ให้ยาทาแผลในปาก เป็นต้น โดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นภายใน 5-7 วัน ในเด็กทารกและเด็กเล็กอายุตํ่ากว่า 5 ปี บางรายอาจมีอาการแทรกซ้อนรุนแรง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ก้านสมองอักเสบ ปอดบวมนํ้า กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และระบบหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ทําให้เสียชีวิต ได้สัญญาณอันตรายได้แก่ ไข้สูงไม่ลดลง ซึม อาเจียนบ่อย หอบ และแขนขาอ่อนแรง เกิดภาวะอัมพาตคล้ายโปลิโอ ให้รีบพบแพทย์ทันที

ขณะนี้ เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน อากาศเย็นและชื้น เอื้อต่อการเจริญเชื้อโรคต่างๆ ที่เป็นห่วงคือ โรคมือ เท้า ปาก (Hand Foot Mouth Disease) ซึ่งพบได้ตลอดปี แต่จะพบมากในช่วงฤดูฝน ประกอบกับช่วงนี้โรงเรียนต่างๆ เริ่มเปิดเทอม เด็กๆ จะมาอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก จึงมีโอกาสเกิดการระบาดของโรคนี้ได้ง่าย โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำ จากการติดตามประเมินสถานการณ์ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก สูงขึ้นทุกปี และในปี 2558 พบผู้ป่วยทั้งสิ้น 40,517 ราย คิดเป็นนอัตราป่วย 62.21 ต่อแสนประชากร มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และในปี 2559 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 24 เมษายน 2559 มีรายงานพบผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก จำนวน 10,628 ราย อัตราป่วย 16.24 ต่อแสนประชากร ส่วนใหญ่พบในเด็กเล็กซึ่งในเด็กมากกว่า ๒ ใน ๓ ที่ป่วยเป็นโรคมือ เท้า ปาก เป็นเด็กที่อยู่ในศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาล ซึ่งเป็นฤดูกาลระบาดของโรคเป็นประจำทุกปี

การไปโรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยงเด็ก ทำให้เด็กๆ ในวัย 3 - 6 ปี เจ็บป่วยได้ง่าย เพราะโรงเรียนก็ถือเป็นแหล่งรวมโรคภัยไข้เจ็บด้วย แม้บางครั้งจะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็ส่งผลต่อสุขภาพและการเติบโตของเด็กด้วย การป้องกันดูแลจะช่วยให้เด็กๆ ไปโรงเรียนได้อย่างสนุกสนาน ปลอดภัยจากโรคภัย การเจ็บป่วยของเด็กๆ ที่พบได้ มี 3 ประเภทด้วยกัน คือ 1.โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ได้แก่ โรคหวัด การอักเสบของจมูก คอ หูชั้นกลาง และหลอดลม 2.โรคที่ติดต่อจากการสัมผัสทางผิวหนัง เช่น หิด เหา 3.โรคทางเดินอาหาร เช่น อาหารเป็นพิษ ท้องเสีย และพยาธิลำไส้ นอกจากนี้ โรคที่เด็กวัยนี้เป็นกันบ่อยๆ คือ โรคสุกใส (อีสุกอีใส) โรคตาแดง และโรคฮิตอีกหนึ่งโรคซึ่งไม่ใช่โรคติดต่อ แต่เด็กสมัยนี้มักเป็นกัน คือ โรคอ้วน ส่วนโรคอันตรายอย่างเช่น โรคมือ-เท้า-ปาก ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ โรคตาแดง เป็นอาการอักเสบของเยื่อตา ที่เกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม อะดีโนไวรัส (Adenovisus) และ เอนเทโรไวรัส (Enterovisus) ว่า โรคตาแดงหรือ ตาแดงชนิดติดต่อ โรคนี้ติดต่อได้ง่าย มักจะมีการระบาดเป็นครั้งคราว การระบาดแต่ละครั้ง จะมีผู้คนติดโรคจำนวนมาก สามารถพบผู้ป่วยโรคนี้ได้ตลอดปี ซึ่งพบบ่อยและติดต่อได้ง่ายในเด็กที่อยู่รวมกันหลายคน เช่น ในโรงเรียน เป็นต้น การติดต่อ เกิดจากการอักเสบแบบไม่ติดเชื้อและติดเชื้อ ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งจะติดต่อด้วยการสัมผัสสิ่งคัดหลั่งของผู้ที่ป่วยทั้งทางตรงและทางอ้อม อาการ เมื่อได้รับเชื้อ อาจเกิดอาการตาแดงในวันรุ่งขึ้นไปจนถึง 2 สัปดาห์ รู้สึกระคายเคืองในตา น้ำตาไหล ตาแดง มีความรู้สึกคล้ายมีผง มักเป็นข้างเดียวก่อน ถ้าไม่ระวังอาจลามไปอีกข้างได้ อาการจากการติดเชื้อไวรัส มีอาการหนังตาบวมแดง บริเวณเยื่อตาอาจพบเป็นตุ่มเล็กๆ กระจายไปทั่ว โดยทั่วไปมีน้ำตาออกมาเป็นน้ำใสๆ หรือเป็นเมือกเล็กน้อย หากติดเชื้อแบคทีเรียจะมีขี้ตาข้นๆ คล้ายหนอง บางรายมีจุดเลือดเล็กๆ กระจาย บางรายอาจพบเป็นปื้นใหญ่ เป็นที่มาของคำว่า เลือดออกในตาร่วมกับตาแดง ซึ่งหมายถึง มีการอักเสบของเยื่อตาร่วมกับมีเลือดออกด้วย ผู้ป่วยบางรายอาจมีน้ำตาไหล โดยน้ำตามีเลือดปนจนทำให้ผู้ป่วยตกใจว่ามีเลือดออกได้ และผู้ที่เป็นมากๆ อาจมีขี้ตาปนเมือกจนเป็นแผ่นติดเยื่อตาได้ ความผิดปกติทั้งหมดของโรคตาแดงจากเชื้อไวรัส จะอยู่ที่หนังตาและเยื่อตาเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับ ตาดำ จึงไม่มีผลต่อการมองเห็น โรคตาแดงจากเชื้อไวรัส มักจะพบการอักเสบ เป็นอาการต่อมน้ำเหลืองด้านหน้าใบหูโตร่วมด้วย บางรายอาจมีไข้ร่วมด้วย อาการตาแดงจะค่อยๆ หายไปในเวลาประมาณ 7 วัน บางคนอาจหายเป็นปกติเลย ในกรณีที่การอักเสบอาจลุกลามเข้าตาดำ เกิดการอักเสบของตาดำเป็นจุดกระจายเล็กๆ ซึ่งระยะนี้อาจทำให้ตามัวลงได้เล็กน้อย และคงอยู่ราว 1 - 2 สัปดาห์ และจะค่อยๆ หายไป การดูแลรักษา หากมีอาการมาก ควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาให้ถูกต้อง หากเป็นตาแดงที่เกิดจากเชื้อไวรัส ยังไม่มียาที่ฆ่าเชื้อไวรัสได้โดยตรง จึงใช้ยาหยอดตาที่เป็นยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย และอาจใช้น้ำตาเทียมร่วมกับยาลดอาการระคายเคือง ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเย็น ช่วยประคบ ช่วยให้การระคายเคืองตาน้อยลง ผู้ป่วยบางรายมีอาการเจ็บตาเคืองตามาก แพทย์อาจสั่งยาหยอดตาประเภทที่มียาสเตียรอยด์ร่วมกับยาปฏิชีวนะให้ชั่วคราว แนะนำให้ลดการใช้สายตาเมื่อป่วยเป็นโรคตาแดง เพื่อไม่ให้เคืองตาหรือน้ำตาไหลมากขึ้น หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม ร่วมกับผู้อื่น ตามปกติโรคตาแดงที่จากติดเชื้อไวรัส จะหายได้เองใน 1 - 2 สัปดาห์ ป้องกัน พยายามล้างมือให้สะอาดก่อนนำมาขยี้ตา จับใบหน้า หรือจับสิ่งของเช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว และอื่นๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับขี้ตา น้ำตา และไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้ที่เป็นตาแดง หลีกเลี่ยงการอยู่รวมกลุ่มกับคนจำนวนมากในที่แออัด เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน ในช่วงที่เชื้อโรคแพร่ระบาด หรือไม่คลุกคลีกับผู้ที่เป็นตาแดง กันผู้ป่วยออกจากกลุ่ม เด็กที่ป่วยอาจจะต้องหยุดเรียนจนกว่าจะหาย หมายเหตุ : การซื้อยาหรือน้ำยาสำหรับหยอดตา ต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรที่ชำนาญเท่านั้น

กรมควบคุมโรค โดยสำนักโรคติดต่อทั่วไป ได้จัดทำระบบการเรียนรู้ออนไลน์ด้วยตนเอง (E – Learning) สำหรับครูและผู้ดูแลเด็ก เรื่องการป้องกันควบคุมโรคติดต่อในศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาลผ่านทางเวปไซด์ http://demo.favouritedesigh.com/healthypreschool/home ศูนย์เด็กเล็กโรงเรียนอนุบาลปลอดโรค โดยผู้เรียนสามารถเข้าไปศึกษาและทดสอบวัดผลการเรียนรู้ พร้อมทั้งรับประกาศนียบัตรรับรองผลการประเมินตนเองในระบบ เมื่อผ่านเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าไปเรียนรู้ได้โดยไม่จำกัดเวลา จึงประชาสัมพันธ์มาให้ทราบโดยทั่วกัน

กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทย ได้ให้คำแนะนำการดูแลสุขภาพเพื่อให้ห่างไกลจากการติดเชื้อไวรัสโรคมือเท้าปาก ดังนี้ วิธีการป้องกันโรคนี้ที่สำคัญคือ การแยกผู้ป่วยให้ห่างจากแหล่งชุมชน และการรักษาสุขอนามัยของสิ่งแวดล้อม เนื่องจากโรคนี้มักระบาดในเด็กเล็กที่อยู่รวมกันในโรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยงเด็ก จึงเน้นเรื่องการล้างมือ การทำความสะอาดของเล่น การทำความสะอาดอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม เด็กป่วยควรให้อยู่บ้านไม่ควรปล่อยให้มาเล่นกับเด็กคนอื่น บางครั้งอาจจำเป็นต้องปิดโรงเรียนหรือสถานเลี้ยงเด็กชั่วคราวถ้าพบว่ามีการระบาดมากขึ้น หากบุตรหลานมีอาการป่วย ควรทำอย่างไร ควรแยกเด็กป่วยเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ไปยังเด็กคนอื่น ผู้ปกครองควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ และรักษาตัวที่บ้านอย่างน้อย 5 - 7 วัน หรือจนกว่าจะหายเป็นปกติ ระหว่างนี้ควรสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น แต่หากเด็กมีอาการแทรกซ้อน เช่น ไข้สูง ซึม อาเจียน หอบ ต้องรีบพากลับไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลทันที ไม่ควรพาเด็กไปสถานที่แออัด เช่น สนามเด็กเล่น สระว่ายน้ำ ตลาด และห้างสรรพสินค้า ควรให้เด็กอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก ควรใช้ผ้าปิดจมูกปากขณะไอจาม และระมัดระวังการไอจามรดกัน ผู้ดูแลเด็กต้องหมั่นล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังจากสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระของเด็กที่ป่วย หากมีเด็กป่วยจำนวนมากในโรงเรียน หรือสถานรับเลี้ยงเด็ก ควรทำอย่างไร มาตรการช่วงที่เกิดโรคระบาดต้องเน้นการสกัดกั้นการแพร่กระจายของเชื้อ ซึ่งอาจจำเป็นต้องประกาศเขตติดโรคและปิดสถานที่ที่มีการระบาด เช่น สถานรับเลี้ยงเด็กอ่อน โรงเรียนเด็กเล็ก อาจรวมถึงสระว่ายน้ำ และสถานที่แออัดอื่นๆ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับเด็กป่วย และควรเน้นการล้างมือบ่อยๆ รวมทั้งการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อในโรงพยาบาลและบ้านเรือนที่มีผู้ป่วย ผู้บริหารโรงเรียนหรือผู้จัดการสถานรับเลี้ยงเด็ก ควรดำเนินการดังนี้ แจ้งการระบาดไปที่หน่วยงานบริการสาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ไปสอบสวนการระบาด ให้ความรู้ และคำแนะนำ เผยแพร่คำแนะนำ เรื่องโรคมือเท้าปาก แก่ผู้ปกครองและเด็กนักเรียน รวมทั้งส่งเสริมพฤติกรรมอนามัยที่ช่วยป้องกันโรคติดต่อ โดยเฉพาะการล้างมือและการรักษาสุขอนามัยของสภาพแวดล้อมและควรแยกของใช้ไม่ให้ปะปนกัน เช่น แก้วน้ำ ช้อนอาหาร ฯลฯ เฝ้าระวังโดยตรวจเด็กทุกคน หากพบผู้ที่มีอาการโรคมือเท้าปาก ต้องรีบแยกและให้หยุดเรียนประมาณ 2 สัปดาห์ หรือจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อไปยังเด็กคนอื่น ควรรีบพาเด็กป่วยไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยเร็ว และดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด พิจารณาปิดห้องเรียนที่มีเด็กป่วย กรณีที่มีเด็กป่วยหลายห้องหรือหลายชั้นเรียนควรปิดโรงเรียนชั่วคราวอย่างน้อย 5 - 7 วัน หากพบการระบาดของโรคมือเท้าปาก หรือ มีผู้ป่วยติดเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 อยู่ภายในโรงเรียนหรือศูนย์เด็กเล็ก แนะนำให้ปิดชั้นเรียนที่มีเด็กป่วยมากกว่า 2 คน หากมีการป่วยกระจายในหลายชั้นเรียนแนะนำให้ปิดโรงเรียนเป็นเวลา 5 วัน พร้อมทำความสะอาดอุปกรณ์รับประทานอาหาร ของเล่นเด็ก ห้องน้ำ สระว่ายน้ำและให้มั่นใจว่าน้ำมีระดับคลอรีนที่ไม่ต่ำกว่ามาตรฐาน ทำความสะอาดสถานที่เพื่อฆ่าเชื้อโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณห้องน้ำ สระว่ายน้ำ โรงครัว โรงอาหาร บริเวณที่เล่นของเด็ก สนามเด็กเล่น โดยใช้สารละลายเจือจางของน้ำยาฟอกขาวผสมในอัตราส่วน 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 1 ลิตร หรือใช้น้ำยาทำความสะอาดที่ใช้ตามบ้านเรือน แล้วเช็ดด้วยน้ำสะอาด ทำความสะอาดของเล่นและเครื่องใช้ของเด็กด้วยการซักล้างแล้วผึ่งแดดให้แห้ง ไม่ควรใช้เครื่องปรับอากาศ แต่แนะนำให้ระบายอากาศโดยการเปิดประตู หน้าต่าง ผ้าม่าน ให้แสงแดดส่องได้ทั่วถึง แหล่งอ้างอิง 1.http://www.bangkokhealth.com/index.php/health/health-year/children/2167-hand-foot-and-mouth-disease.html

แนะศูนย์เด็กเล็ก ป้องกันโรคมือเท้าปาก สาธารณสุขเฝ้าระวังศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียน อนุบาล ป้องกันโรคมือเท้าปากระบาด ชี้ปัจจัยเสี่ยงมาจากสภาพอากาศแปรปรวนทำให้ เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี ข้อมูลการเฝ้าระวังโรคของ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคเดือนแรกของปี 2559 พบผู้ป่วยโรคมือเท้า 5,360 คน จาก 76 จังหวัด ภาคกลางมีอัตราป่วยสูงสุด รองลงมา ภาคเหนือ ภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด 1-3 ปี ทั้งนี้ สำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค ได้วิเคราะห์ข้อมูลการระบาดของปี 2558 ทั่วประเทศ พบผู้ป่วยโรคมือเท้าปาก 40,517 คน เสียชีวิต 3 ราย ได้มีการเร่งรัดควบคุมป้องกันโรคอย่างเข้มข้นตลอดปี ทำให้ลดจำนวนผู้ป่วยในช่วงฤดูฝน เดือนพฤษภาคม -สิงหาคม ลงได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังพบการระบาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ตุลาคมจนถึงสิ้นปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาในช่วงต้นปี 2559 ระหว่างเดือนมกราคม- กุมภาพันธ์ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือและภาคใต้ตอนบน ซึ่งมีการระบาดต่อเนื่องมาจากปลายปี 2558 โดยปัจจัยที่ ส่งเสริมการระบาดของโรค มือเท้าปากนั้น ส่วนหนึ่งมาจากสภาพอากาศที่แปรปรวนรวมทั้งการมีฝนตกชุกในพื้นที่ภาคใต้ เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เร่งรัดรณรงค์ขอความร่วมมือศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และโรงเรียนอนุบาลในพื้นที่ ดำเนินการป้องกันควบคุมโรค ตามมาตรการของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้มีเด็กป่วยและเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นในปี 2559 ทั้งนี้ ขอความร่วมมือศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาลดำเนินการ ดังนี้ 1.ตรวจคัดกรองเด็ก เป็นประจำทุกวันในตอนเช้า 2.แยกเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ โดยให้ผู้ปกครองรับกลับบ้าน 3.หลีกเลี่ยง ไม่ให้เด็กป่วยเล่นคลุกคลีกับเด็กปกติ และเมื่อป่วยควรพักรักษาอยู่ที่บ้าน 4.ให้เด็กล้างมือบ่อยๆ หรือทุกครั้งที่สัมผัสสิ่งสกปรก ปนเปื้อนเชื้อโรค ได้แก่ ก่อนรับประทานอาหารหลังเข้าห้องส้วมก่อนและหลังทำกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ทำความสะอาดอุปกรณ์ เครื่องมือ ของใช้ ของเล่น เป็นประจำ ทุกสัปดาห์ และทุกครั้งที่พบมีเด็กป่วย 5.หากพบเด็กป่วยเป็นโรคมือเท้าปาก ให้แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้านทันที